ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ แตะระดับสูงสุดใหม่เมื่อวานนี้ ขณะที่การขาดการซื้อขายในวันนี้ส่งผลให้ ฟิวเจอร์สดัชนีมีการปรับฐานเล็กน้อย แม้จะไม่ถึงขั้นเรียกว่าเป็นแรงขายอย่างชัดเจน โดยดัชนีหลักของสหรัฐฯ ยังคงปรับตัวลงเพียงราว 0.6%
หลังจากแรงเทขายที่เกิดขึ้นเนื่องในวัน "Liberation Day" ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ดีดตัวกลับแรงมาก ทวงคืนการขาดทุนก่อนหน้าและทำจุดสูงสุดใหม่ อย่างไรก็ตาม ความร้อนแรงของตลาดในครั้งนี้ ยิ่งห่างไกลจากการปรับตัวดีขึ้นของปัจจัยพื้นฐาน
ประการแรก ดัชนี S&P 500 ได้รับแรงหนุนจาก จำนวนบริษัทจำนวนน้อยลง โดยส่วนใหญ่ของภาคธุรกิจให้ผลตอบแทนต่ำกว่าดัชนีภาพรวมตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ขณะที่การปรับขึ้นของดัชนีส่วนใหญ่ขับเคลื่อนโดย กลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนักหากมองจากบรรยากาศในปี 2024 อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวลกว่าคือ แม้ดัชนีทำจุดสูงสุดใหม่ แต่กลับมีจำนวนบริษัทที่ทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบปีน้อยลงกว่าเดิมกว่า 3 เท่า
เริ่มเทรดทันทีวันนี้ หรือ ลองใช้บัญชีทดลองแบบไร้ความเสี่ยง
เปิดบัญชี ลองบัญชีเดโม่ ดาวน์โหลดแอปมือถือ ดาวน์โหลดแอปมือถือประการที่สอง สัดส่วนหุ้นในพอร์ตของครัวเรือนสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2025 ซึ่งอาจกลายเป็นอุปสรรคในการรักษาความต้องการลงทุนจากนักลงทุนรายย่อยในอนาคต
นอกจากนี้ ยังควรพิจารณาแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ทั้งยอดขายที่คาดการณ์ไว้และกำไรต่อหุ้น (EPS) สำหรับปี 2025 และ 2026 ยังคงต่ำกว่าจุดสูงสุดในเดือนกุมภาพันธ์กว่า 3% โดยดัชนี Russell 2000 ยิ่งสะท้อนความต่างนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น
สุดท้าย สิ่งที่ตลาดดูเหมือนจะมองข้ามไปอย่างสิ้นเชิง — เช่น ความเสี่ยงจากภาษีนำเข้าที่อาจเพิ่มขึ้นและผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ — ยังไม่หายไป และอาจกลายเป็นปัจจัยที่กดดันผลประกอบการของบริษัทในอนาคต
การเปรียบเทียบมูลค่าดัชนี S&P 500 กับประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2025 (เส้นสีเหลือง) และปี 2026 (เส้นสีน้ำเงิน)
แหล่งที่มา: Bloomberg Finance L.P.
การเปรียบเทียบมูลค่าดัชนี Russell 2000 กับประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2025 (เส้นสีเหลือง) และปี 2026 (เส้นสีน้ำเงิน)
แหล่งที่มา: Bloomberg Finance L.P.