แม้เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะซบเซามานานหลายทศวรรษ แต่ญี่ปุ่นยังคงเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของโลก และเงินเยนก็ยังเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่สำคัญที่สุด หนึ่งในองค์ประกอบหลักของภูมิทัศน์ทางการเงินนี้คือสิ่งที่เรียกว่า “Carry Trade” แต่มันคืออะไร? ทำไมจึงสำคัญ? และอะไรคือปัจจัยคุกคาม?
“Carry Trade” เป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนสถาบันใช้เพื่อสร้างผลกำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย — ในกรณีนี้คือระหว่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น โดยอาศัยการที่ญี่ปุ่นมีอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ นักลงทุนจะกู้ยืมเป็นเงินเยน จากนั้นแลกเป็นดอลลาร์ และนำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่า ต้นทุนดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในญี่ปุ่น กลยุทธ์นี้จึงเต็มไปด้วยความเสี่ยงทั้งด้านอัตราดอกเบี้ยและค่าเงิน
กลยุทธ์ “carry trade” จะได้ผลก็ต่อเมื่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนพันธบัตรยังคงสูง — แต่ส่วนต่างดังกล่าวระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นกำลังลดลงเรื่อย ๆ ปัจจัยลบที่เพิ่มขึ้นและแรงกดดันต่อธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ทำให้ต้องยุติโครงการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน (YCC) และเริ่มต้นวงจรขึ้นดอกเบี้ยที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เงินเยนติดอยู่ในปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจญี่ปุ่น เยนไม่สามารถอ่อนค่าได้มากเกินไป เพราะญี่ปุ่นต้องพึ่งพาการนำเข้าอย่างวิกฤต — แต่เพียงการขึ้นดอกเบี้ยเล็กน้อยตามมาตรฐานประเทศพัฒนาแล้ว ก็อาจทำให้ระบบการเงินญี่ปุ่นล่มสลายได้ เนื่องจากหนี้สาธารณะจำนวนมหาศาลของประเทศถูกถือครองโดยธนาคารญี่ปุ่นเป็นหลัก
ผลกระทบต่อค่าเงินจะเป็นอย่างไร และสถานการณ์ที่เป็นไปได้มากที่สุดคืออะไร?
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นยังอยู่ที่ประมาณ 3.5% ซึ่งทำให้ carry trade ยังมีกำไร แต่ในทางกลับกันก็กดดันเงินเยนอย่างต่อเนื่อง — ซึ่งได้สูญเสียมูลค่าไปแล้วครึ่งหนึ่งตั้งแต่ปี 2020
ระดับที่ “ยอมรับไม่ได้” สำหรับญี่ปุ่นคือ เหนือ 160 เยนต่อดอลลาร์ เพราะจะทำให้ราคาพลังงานและอาหารพุ่งสูงจนกระทบเสถียรภาพ
ทำไมเงินเยนจึงหยุดอ่อนที่ระดับ 160 และแกว่งตัวสะสมมานานหนึ่งปี?
เพราะธนาคารกลางญี่ปุ่นคือ “แชมป์เฮฟวี่เวท” ด้านการแทรกแซงค่าเงิน แม้เพียงการส่งสัญญาณทางวาจาก็สามารถทำให้ค่าเงินเยนแข็งขึ้นหลายเยนภายในไม่กี่นาที BoJ มีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศใหญ่ที่สุดในโลก และพร้อมใช้ได้ทุกเมื่อ — การโจมตีค่าเงินเพื่อเก็งกำไรจึงแทบไม่มีโอกาสสำเร็จ อย่างไรก็ตาม BoJ ไม่สามารถตรึงค่าเงินเยนให้อยู่ระดับสูงได้ตลอด หากอัตราดอกเบี้ยยังต่ำมากเช่นนี้ — สุดท้ายธนาคารกลางจะถูกบังคับให้ต้องขึ้นดอกเบี้ย
ปัจจุบัน ตลาดคาดว่า BoJ อาจขึ้นดอกเบี้ย 0.75–1% ภายในเดือนมีนาคมปีหน้า ขณะที่สหรัฐฯ คาดว่าจะลดดอกเบี้ย มากกว่า 1.5% นั่นหมายถึงส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจะลดลงจาก 3.5% เหลือเพียงประมาณ 1%
ซึ่งน้อยเกินกว่าจะชดเชยความเสี่ยงและต้นทุนของ carry trade ได้ และสถานการณ์นี้อาจจุดชนวนให้มีการปิดสถานะจำนวนมาก และทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
USDJPY (D1)

Source: xStation5
ข่าวเด่น: 🇨🇭📉 เงินเฟ้อสวิตฯ ลดลงเกินคาด — กดดันเฟดสวิส ขณะที่ USDCHF ขยับขึ้น
สรุปข่าวเช้า
ข่าวเด่นวันนี้
D-Wave ขยายสู่ภาครัฐ หุ้นปรับตัวขึ้น!