การเทรดสวนทาง (Contrarian Trading) คืออะไร?

บทความที่เกี่ยวข้อง:
เวลาอ่าน: 3 นาที
การซื้อขายแบบ Contrarian คืออะไร?

ลงทุนแบบ Contrarian คือกลยุทธ์การเทรดที่สวนทางกับแนวโน้มของตลาด มุ่งเน้นใช้จิตวิทยาตลาด วิเคราะห์อารมณ์ของนักลงทุน และมองหาโอกาสที่คนส่วนใหญ่มองข้าม กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวิธีการลงทุนที่แตกต่าง ไม่ตามฝูงชน พร้อมโอกาสทำกำไรในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง หากคุณกำลังมองหาแนวทางการเทรดแบบสวนทางที่เน้นวินัย ความเข้าใจเชิงลึก และกลยุทธ์เฉพาะตัว บทความนี้คือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด

การเทรดแบบสวนทางเป็นวิธีการที่ไม่เหมือนใคร โดยเน้นการเปิดตำแหน่งตรงข้ามกับแนวโน้มหลักของตลาดในสินทรัพย์แทบทุกประเภท เช่น ดัชนี หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ สกุลเงิน หรือตลาดคริปโตเคอร์เรนซี วิธีนี้ต้องศึกษารูปแบบกราฟ ราคาในอดีต พฤติกรรมนักลงทุน และแนวโน้มต่าง ๆ เพื่อประเมินความเสี่ยงและใช้ประโยชน์จากความผันผวนของตลาด

นักเทรดแบบสวนทางมักเลือกกลยุทธ์ที่ท้าทายกับความคิดของคนส่วนใหญ่ ขณะที่นักเทรดทั่วไปมักตามแนวโน้มตลาด นักเทรดสวนทางจะตั้งใจเดินสวนทาง หาช่องทางที่คนอื่นมองเห็นเป็นความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอน จุดสำคัญของการเทรดแบบสวนทางคือการใช้ประโยชน์จากการที่ตลาดตอบสนองเกินจริง เมื่อความกลัวหรือความโลภดันราคาห่างจากมูลค่าที่แท้จริงมากเกินไป

วิธีนี้ไม่ได้หมายความแค่ต้องแตกต่าง แต่ต้องใช้การวิเคราะห์อย่างรอบคอบ มีวินัย และเข้าใจจิตวิทยาตลาดอย่างลึกซึ้ง โดยการจับช่วงเวลาที่สินทรัพย์ถูกขายออกมากเกินไปหรือติดซื้อมากเกินไป นักเทรดสวนทางจึงมุ่งหวังที่จะ "ซื้อในราคาต่ำและขายในราคาสูง" ขณะที่คนอื่นทำตรงกันข้าม ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับการเทรดแบบสวนทาง วิธีการทำงาน และขั้นตอนที่นำไปใช้จริง เพื่อเสริมทักษะการเทรดของคุณให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ประเด็นสำคัญ

  1. การเทรดสวนทาง (Contrarian Trading) คืออะไร: การเทรดสวนทางคือการลงทุนที่เดินสวนทางกับความเห็นส่วนใหญ่ของตลาด โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรจากการตอบสนองเกินจริงที่เกิดจากความรู้สึกมองโลกในแง่ดีหรือแง่ร้ายที่มากเกินไป
  2. จิตวิทยาที่อยู่เบื้องหลังกลยุทธ์นี้: วิธีนี้ใช้ประโยชน์จากจิตวิทยาตลาด โดยเน้นที่ความกลัวและความโลภซึ่งเป็นแรงผลักดันหลักของการเคลื่อนไหวราคาที่ไม่สมเหตุสมผล
  3. เครื่องมือและตัวชี้วัดสำคัญ: การเทรดสวนทางที่ประสบความสำเร็จจะพึ่งพาเครื่องมือต่าง ๆ เช่น ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI), แบบสำรวจความรู้สึกตลาด (sentiment surveys) และค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (moving averages) เพื่อระบุสถานะที่สินทรัพย์ถูกซื้อมากเกินไปหรือติดขายมากเกินไป
  4. ความเสี่ยงและผลตอบแทน: การเทรดสวนทางมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง แต่ต้องมีความอดทนและรับความเสี่ยงได้ดี เพราะแนวโน้มตลาดอาจดำเนินต่อไปนานกว่าที่คาดไว้
  5. นักลงทุนต้นแบบด้านการลงทุนสวนทาง: นักลงทุนระดับตำนานอย่าง Michael Burry, Jesse Livermore, Warren Buffett และ John Templeton ต่างพิสูจน์ให้เห็นถึงพลังของกลยุทธ์สวนทาง (Contrarian Strategy) ผ่านแนวคิดที่ว่า“จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว” ซึ่งเป็นคำกล่าวอันโด่งดังของ Warren Buffett ที่ยังคงเป็นหลักคิดสำคัญสำหรับนักลงทุนจำนวนมากจนถึงปัจจุบัน
  6. ใครเหมาะกับกลยุทธ์นี้: การเทรดสวนทางเหมาะสำหรับนักเทรดที่มีวินัยสูง มีความเข้าใจลึกซึ้งในพื้นฐานตลาด และกล้าตัดสินใจอย่างอิสระ นอกจากนี้ยังเหมาะกับนักเก็งกำไรที่พร้อมรับความเสี่ยงสูงจากการอาจผิดพลาดในช่วงเวลาที่ตลาดยังไม่ถึงจุดสูงสุดหรือต่ำสุด

การเทรดสวนทาง (ลงทุนแบบ Contrarian) คืออะไร?

เทรดสวนทางคืออะไร
ชายสวมแว่นมีเครามองดูระยะไกลอย่างครุ่นคิด แสดงออกถึงความเฉลียวฉลาดและความครุ่นคิด

การเทรดสวนทาง (Contrarian trading) เป็นวิธีการลงทุนที่ไม่ตามแนวโน้มหลักของตลาด ผู้เทรดจะเปิดตำแหน่งสวนทางกับความคิดเห็นส่วนใหญ่ โดยมองหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นในขณะที่ความเสี่ยงต่ำกว่าเมื่อตัดสินใจเปิดตำแหน่งตรงข้ามกับแนวโน้มหลักของราคาสินทรัพย์ พวกเขาจะซื้อและลงทุนเมื่อคนส่วนใหญ่เลือกขายออกจากความรู้สึกท้อแท้ และในทางกลับกัน บางครั้งก็ขายชอร์ตสินทรัพย์ที่อยู่ในช่วงความมั่นใจเกินจริง โดยนักลงทุนยอมรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากการถือครองสินทรัพย์เหล่านั้น วิธีนี้อาศัยแนวคิดที่ว่าตลาดมักจะตอบสนองเกินจริงต่อข่าวสาร ทำให้เกิดโอกาสในการซื้อสินทรัพย์ในราคาต่ำและขายในราคาที่สูงเกินจริง นักลงทุนสวนทางจึงใช้ช่องว่างนี้โดยการคาดการณ์การกลับตัวของตลาด ซึ่งต้องอาศัยการวิเคราะห์อย่างรอบคอบและมีวินัยสูง

การเทรดสวนทางเป็นกลยุทธ์ที่ท้าทายความเห็นส่วนใหญ่ในตลาด โดยมุ่งหวังที่จะทำกำไรจากการสวนทางแนวโน้มหลักของตลาด หลักการง่าย ๆ คือ เมื่อผู้ลงทุนส่วนใหญ่มีความรู้สึกเกินไป ไม่ว่าจะเป็นความหวังหรือความกลัว ตลาดมักจะตั้งราคาผิดพลาดทำให้เกิดโอกาสสำหรับนักเทรดสวนทาง วิธีนี้ต้องใช้การวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง วินัยทางอารมณ์ และความกล้าที่จะเดินต่างจากฝูงชน

นักลงทุนชื่อดังหลายคนที่ประสบความสำเร็จจากการใช้กลยุทธ์สวนทางกับตลาด ได้แก่ Jesse Livermore, Arthur Cutten, Michael Burry, Warren Buffett และ George Soros การตัดสินใจลงทุนของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าการคิดต่างจากกระแสหลักสามารถนำไปสู่ความสำเร็จอย่างมหาศาลได้ ต่อไปนี้คือตัวอย่างเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ 5 กรณี:

1. เจสซี ลิเวอร์มอร์และการล่มสลายของตลาดหุ้นในปี 1929

เจสซี ลิเวอร์มอร์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ "หมีใหญ่แห่งวอลล์สตรีท" สร้างความมั่งคั่งด้วยการขายชอร์ตตลาดก่อนการล่มสลายของตลาดหุ้นในปี 1929 เพียงไม่นาน ในขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่รู้สึกตื่นเต้นในช่วงทศวรรษปี 1920 ที่ตลาดเฟื่องฟู ลิเวอร์มอร์ได้วิเคราะห์สภาพตลาดและสังเกตเห็นการเก็งกำไรที่มากเกินไป การเดิมพันสวนทางกับตลาดทำให้เขาได้รับเงิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเทียบเท่ากับพันล้านในปัจจุบัน

2. อาร์เธอร์ คัตเทนและการเก็งกำไรข้าวสาลี

อาร์เธอร์ คัตเทน ผู้ค้าสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีชื่อเสียง ประสบความสำเร็จจากการเดิมพันสวนทางกับความรู้สึกของสาธารณชนในตลาดธัญพืชในช่วงทศวรรษปี 1920 ในช่วงเวลาที่ราคาข้าวสาลีตกต่ำเนื่องจากความกลัวอุปทานล้นตลาด คัตเทนคาดการณ์การฟื้นตัวโดยอาศัยการพยากรณ์อากาศและอุปสงค์ทั่วโลก ความเสี่ยงที่คำนวณมาอย่างดีทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้ค้าที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคของเขา 

3. Michael Burry และวิกฤตการณ์ที่อยู่อาศัยในปี 2008

Michael Burry ซึ่งปรากฏตัวใน The Big Short คาดการณ์ถึงวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008 ได้ล่วงหน้า ในขณะที่คนอื่นๆ คาดการณ์ไม่ถึง เขาได้ระบุถึงฟองสบู่ที่ไม่ยั่งยืนในสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ และแสดงจุดยืนที่สวนทางโดยการขายชอร์ตหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันด้วยสินเชื่อที่อยู่อาศัย แม้ว่าในช่วงแรกจะเผชิญกับความคลางแคลงใจและขาดทุน แต่ความพากเพียรของเขากลับให้ผลตอบแทน ทำให้กองทุนของเขาได้รับเงินมากกว่า 700 ล้านเหรียญ

4. Warren Buffett และวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008

Warren Buffett เป็นที่รู้จักจากคติประจำใจที่ว่า "จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว" เขาแสดงให้เห็นถึงความคิดที่สวนทางในช่วงวิกฤตการณ์ในปี 2008 ในขณะที่คนอื่นๆ ตื่นตระหนก Buffett กลับลงทุนหลายพันล้านเหรียญในบริษัทต่างๆ เช่น Goldman Sachs และ Bank of America โดยเจรจาเงื่อนไขที่เอื้ออำนวย การเดิมพันเหล่านี้สร้างผลกำไรในระยะยาวอย่างมากมาย 5. จอร์จ โซรอส และวันพุธดำปี 1992

จอร์จ โซรอส โด่งดังจากการ "ทำลายธนาคารแห่งอังกฤษ" โดยการเดิมพันกับเงินปอนด์อังกฤษในปี 1992 แม้ว่าผู้เข้าร่วมตลาดส่วนใหญ่เชื่อว่าเงินปอนด์จะยังคงอยู่ในกลไกอัตราแลกเปลี่ยนของยุโรป (ERM) แต่โซรอสกลับระบุถึงข้อบกพร่องในระบบ การซื้อขายที่สวนทางกับระบบของเขาทำให้เขาทำเงินได้ 1 พันล้านดอลลาร์ในวันเดียว

กลยุทธ์การเทรดแบบสวนทางตลาด

เรียนรู้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Contrarian
รูปปั้นวัวกระทิงตั้งโดดเด่นอยู่หน้าอาคาร ประดับด้วยธงชาติอเมริกันที่โบกสะบัดอยู่เบื้องหลัง

กลยุทธ์การเทรดแบบสวนทางเน้นการระบุและใช้ประโยชน์จากความไม่มีประสิทธิภาพของตลาดที่เกิดจากความมองโลกในแง่ดีหรือแง่ร้ายเกินจริง แนวคิดหลักคือการดำเนินการสวนทางกับกระแสหลักในตลาด โดยมุ่งหวังที่จะซื้อสินทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงในช่วงเวลาที่ตลาดเกิดความกลัว หรือตัดสินใจขายสินทรัพย์ที่มีราคาสูงเกินจริงในช่วงเวลาที่ตลาดมีความมั่นใจเกินไป ต่อไปนี้คือกลยุทธ์สำคัญที่นักเทรดแบบสวนทางใช้:

  • ซื้อเมื่อคนขายตื่นตระหนก เมื่อราคาตลาดลดลงอย่างรวดเร็วเพราะมีคนขายตื่นตระหนก นักลงทุนสวนทางจะมองเห็นโอกาส เช่น ในช่วงที่ตลาดตกหนัก บริษัทที่มีพื้นฐานดีมักถูกประเมินค่าต่ำกว่าความจริง กลยุทธ์สวนทางคือการหาโอกาสเหล่านี้และลงทุนในช่วงที่คนอื่นกำลังหนีออกจากตลาด
  • ขายเมื่อเกิดความมั่นใจเกินไปในตลาดกระทิง ในช่วงตลาดกระทิง ราคาสินทรัพย์มักสูงเกินมูลค่าจริงเพราะความโลภของนักลงทุน นักลงทุนสวนทางจะขายหรือขายชอร์ตในช่วงนี้ โดยคาดหวังว่าตลาดจะมีการปรับฐานหรือตกลงอย่างรุนแรง
  • ใช้ตัวชี้วัดความรู้สึกของตลาด นักเทรดสวนทางใช้ตัวชี้วัดความรู้สึกตลาด เช่น อัตราส่วน Put/Call ดัชนีความผันผวน (VIX) หรือแบบสำรวจความรู้สึกนักลงทุน ระดับความกลัวหรือความโลภสูงในตัวชี้วัดเหล่านี้มักเป็นสัญญาณว่าตลาดอาจเปลี่ยนทิศทาง ช่วยให้นักเทรดรู้จังหวะเข้าและออกตลาด
     
  • ลงทุนแบบเน้นมูลค่าพื้นฐาน ได้รับแรงบันดาลใจจากนักลงทุนชื่อดังอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ กลยุทธ์นี้เน้นการซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งแต่ราคาถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง โดยไม่สนใจแนวโน้มตลาดในปัจจุบัน นักลงทุนสวนทางเชื่อว่ามูลค่าที่แท้จริงจะถูกยอมรับในระยะยาว
     
  • วางตำแหน่งสวนทางในบางกลุ่มอุตสาหกรรม บางครั้งกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งกลุ่มถูกมองข้าม แม้จะมีโอกาสเติบโตในระยะยาว นักลงทุนสวนทางจะวิเคราะห์พื้นฐานและลงทุนในกลุ่มที่ถูกละเลยเหล่านี้ โดยคาดหวังว่าจะได้กำไรเมื่อมุมมองตลาดเปลี่ยนไป
     
  • ขายชอร์ตในตลาดที่ราคาสูงเกินไป นักเทรดสวนทางมักขายชอร์ตสินทรัพย์หรือดัชนีที่เชื่อว่ามีการบิดเบือนราคา กลยุทธ์นี้ต้องใช้การวิเคราะห์ละเอียดและจับจังหวะให้ถูก เพราะตลาดอาจยังคงราคาสูงเกินจริงนานกว่าที่คิด
     
  • เทรดสวนทางในช่วงตลาดผันผวน เหตุการณ์อย่างรายงานผลประกอบการ เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจ มักทำให้ราคาผันผวนรุนแรง นักลงทุนสวนทางจะเปิดตำแหน่งสวนทางกับการตอบสนองเริ่มแรกของตลาด โดยหวังว่าราคาจะกลับสู่ภาวะปกติ

การเทรดสวนทางไม่ได้หมายถึงการสวนทางตลาดเพื่อให้แตกต่าง แต่เป็นการค้นหาโอกาสที่ซ่อนอยู่โดยเข้าใจจิตวิทยาตลาดและประเมินมูลค่าสินทรัพย์อย่างเป็นกลาง วิธีนี้ต้องใช้ความอดทน การวิจัยอย่างละเอียด และความสามารถในการควบคุมอารมณ์ จึงเหมาะกับนักเทรดที่มีวินัยและคิดรอบคอบ กลยุทธ์สวนทางอื่นที่สำคัญได้แก่ การลงทุนในหุ้นที่ราคาสูงเกินจริงหรือละเลย และการจับจังหวะกลับตัวของแนวโน้มตลาด

กลยุทธ์ลงทุนหุ้นที่ถูกมองข้าม

นักเทรดมักมองหาหุ้นหรือสินทรัพย์ที่ตลาดมองข้ามโดยไม่เป็นธรรม หุ้นเหล่านี้มักมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง แต่ราคาถูกกดต่ำลงเนื่องจากภาพลบหรือสถานการณ์ชั่วคราวที่ไม่เอื้ออำนวย

เทคนิคนี้คือการซื้อในราคาต่ำ โดยคาดหวังว่าตลาดจะรับรู้ถึงมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นในระยะยาว และราคาจะปรับตัวสูงขึ้นตามนั้น การวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าการประเมินราคาต่ำไม่เกิดจากปัญหาที่แท้จริงของบริษัทหรืออุตสาหกรรมนั้น ๆ

กลยุทธ์ลงทุนในสินทรัพย์ที่ราคาประเมินสูงเกินจริง

กลยุทธ์นี้คือการขายชอร์ตสินทรัพย์ที่ตลาดประเมินราคาสูงเกินมูลค่าที่แท้จริง นักลงทุนจะใช้การวิเคราะห์ทั้งเชิงเทคนิคและพื้นฐานอย่างเข้มงวดเพื่อหาโอกาสเหล่านี้ โดยสังเกตสัญญาณว่าราคาสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาก การขายชอร์ตช่วยให้ได้กำไรจากการปรับราคาลงเมื่อตลาดกลับมาประเมินราคาสินทรัพย์อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้มีความเสี่ยง เพราะราคาสามารถพุ่งสูงขึ้นได้ก่อนที่จะร่วงลง

กลยุทธ์จับจังหวะกลับตัวของแนวโน้ม

กลยุทธ์นี้มีเป้าหมายเพื่อหาจุดที่แนวโน้มปัจจุบันกำลังจะกลับตัว นักลงทุนใช้เครื่องมือทางเทคนิคเพื่อตรวจจับสัญญาณกลับตัว เช่น ความแตกต่างของค่าในตัววัด (oscillators) หรือการหลุดแนวรับแนวต้านสำคัญ การลงทุนในช่วงเริ่มต้นของการกลับตัวสามารถทำกำไรได้สูง แต่ต้องอาศัยการจับจังหวะที่แม่นยำและการบริหารความเสี่ยงที่ดี เพื่อป้องกันการเกิดสัญญาณหลอก

วิธีการสร้างกลยุทธ์เทรดสวนทาง

กลยุทธ์เทรดสวนทางชายคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางเขาวงกต โดยมีพุ่มไม้สูงตระหง่านสร้างโครงสร้างคล้ายเขาวงกตรอบตัวเขา

การใช้กลยุทธ์แบบนี้จำเป็นต้องมีความเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง และสามารถระบุได้ว่าเมื่อใดที่ความเห็นส่วนใหญ่ในตลาดอาจทำให้ราคาสินทรัพย์ถูกประเมินผิดพลาด การตั้งค่ากลยุทธ์การเทรดสวนทางให้ประสบความสำเร็จจึงต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ เข้าใจจิตวิทยาตลาดอย่างลึกซึ้ง และใช้เครื่องมือที่เหมาะสม วิธีนี้ไม่ได้หมายความแค่เพียงสวนทางกับคนส่วนใหญ่ แต่คือการรู้ว่าเมื่อใดที่คนส่วนใหญ่อาจคิดผิด นี่คือขั้นตอนแนะนำเพื่อช่วยคุณออกแบบกลยุทธ์การเทรดสวนทางอย่างมีประสิทธิภาพ:

กำหนดเป้าหมายของคุณ

เริ่มต้นด้วยการชัดเจนในเป้าหมายของตัวเอง คุณต้องการกำไรระยะสั้นหรือลงทุนเพื่อมูลค่าระยะยาว กลยุทธ์สวนทางสามารถใช้ได้กับกรอบเวลาที่หลากหลาย ดังนั้นวิธีการของคุณควรสอดคล้องกับสไตล์การเทรดและความเสี่ยงที่คุณรับได้

ระบุช่วงที่ความรู้สึกตลาดสุดโต่ง

รากฐานของการเทรดแบบสวนทางคือการรู้ว่าเมื่อใดที่ตลาดมีความรู้สึกเกินจริง เช่น ความมั่นใจเกินไป หรือตกใจกลัวเกินไป ใช้เครื่องมือเหล่านี้ช่วยวัดความเชื่อมั่นของตลาด:

  • ตัวชี้วัดความรู้สึก (Sentiment Indicators): ดูอัตราส่วน Put/Call, แบบสำรวจความรู้สึกนักลงทุนของ AAII หรือดัชนี Fear and Greed เพื่อประเมินบรรยากาศตลาด
  • การเคลื่อนไหวของราคา: สังเกตราคาที่พุ่งขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะมักเป็นสัญญาณของความรู้สึกที่เกินจริง
  • การวิเคราะห์ข่าว: ข่าวที่ถูกโหมกระพือหรือความตื่นตระหนกมากเกินไปเกี่ยวกับสินทรัพย์มักบ่งบอกถึงโอกาสกลับตัวของราคา
     

วิเคราะห์พื้นฐานและเทคนิคอย่างรอบคอบ

การเทรดสวนทางจะได้ผลดีที่สุดเมื่อมีการวิเคราะห์ที่แข็งแกร่ง:

  • การวิเคราะห์พื้นฐาน: ประเมินว่าสินทรัพย์นั้นถูกประเมินต่ำหรือสูงเกินไป โดยดูจากอัตราส่วน P/E กำไร หรือเปรียบเทียบกับมาตรฐานในอุตสาหกรรม
  • การวิเคราะห์เทคนิค: ใช้ตัวชี้วัด เช่น Relative Strength Index (RSI) เพื่อหาช่วงที่สินทรัพย์ซื้อมากเกินไปหรือลงทุนมากเกินไป Bollinger Bands และค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ช่วยหาจุดเข้าและออกได้ดี

ตั้งกฎการเข้าและออกอย่างชัดเจน

กำหนดเกณฑ์ที่แน่นอนสำหรับการเปิดและปิดการเทรด เช่น

  • เข้าเทรดเมื่อ RSI ของสินทรัพย์ต่ำกว่า 30 (ซื้อต่ำเกินไป) หรือสูงกว่า 70 (ซื้อมากเกินไป)
  • ออกเทรดเมื่อราคาสินทรัพย์เข้าใกล้มูลค่าที่แท้จริง หรือตลาดเริ่มกลับสู่สภาวะปกติ
     

บริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

การเทรดสวนทางมักต้องเผชิญกับแนวโน้มที่อาจยืดเยื้อเกินคาด ควรมีวิธีป้องกันความเสี่ยง เช่น:

  • ตั้งคำสั่ง Stop Loss: กำหนดจุดตัดขาดทุนล่วงหน้าเพื่อลดความเสี่ยง
  • จัดสัดส่วนพอร์ตลงทุน: ลงทุนในสัดส่วนน้อย ๆ ของพอร์ตกับการเทรดสวนทาง เพื่อป้องกันการเสียหายมากเกินไป
  • กระจายความเสี่ยง: ลงทุนในหลายสินทรัพย์หรือหลายกลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อลดความเสี่ยง
     

รักษาวินัยทางอารมณ์

การเทรดสวนทางต้องใช้ความเข้มแข็งทางจิตใจในการเดินสวนทางกับฝูงชน ซึ่งอาจทำให้รู้สึกกดดัน ควรยึดมั่นในวิเคราะห์ของตัวเองและหลีกเลี่ยงการตัดสินใจโดยอารมณ์ เช่น ความกลัวหรือความโลภ
 

ติดตามและปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง

ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา กลยุทธ์ของคุณก็ต้องปรับตามไปด้วย ทบทวนการเทรดของคุณเป็นประจำ ประเมินผลลัพธ์ และปรับปรุงวิธีการตามบทเรียนที่ได้เรียนรู้

ข้อแนะนำ: ก่อนนำกลยุทธ์การเทรดสวนทางมาใช้จริง ควรทดสอบในสภาพแวดล้อมจำลองเสียก่อน เพื่อค้นหาจุดอ่อนและปรับปรุงแนวทางโดยไม่ต้องเสี่ยงเงินจริง การดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้คุณพัฒนากลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ประโยชน์จากความผิดปกติของตลาด และสร้างโอกาสทำกำไรในช่วงเวลาที่นักลงทุนคนอื่นลังเลหรือตอบสนองเกินไป อย่าลืมว่า "ความอดทน" และ "การเตรียมตัวอย่างรอบคอบ" คือกุญแจสำคัญของความสำเร็จในการเทรดสวนทาง

การวิเคราะห์ความรู้สึกของตลาด

การเข้าใจและวิเคราะห์ความรู้สึกของกลุ่มคนรวมถึงจิตวิทยาตลาดในภาพรวมเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งรวมถึงการศึกษาระดับความกลัวและความโลภของนักลงทุน โดยมักใช้เครื่องมือเฉพาะ เช่น ดัชนี VIX การเทรดแบบสวนทางจะมองหาช่วงเวลาที่ความกลัวหรือความโลภพุ่งสูงสุด ซึ่งช่วงเวลานี้มักเป็นสัญญาณที่ดีในการเข้า หรือออกจากการเทรด การติดตามแบบสำรวจความรู้สึกนักลงทุนและบทวิเคราะห์ตลาดยังช่วยให้เราเห็นภาพความรู้สึกโดยรวมในตลาดได้ดีขึ้น

 

การระบุสัญญาณสวนทาง

สัญญาณเหล่านี้บ่งชี้ว่าสินทรัพย์กำลังจะเปลี่ยนทิศทางตรงข้ามกับแนวโน้มหลัก สัญญาณเหล่านี้อาจมาจากข่าวสาร รายงานการเงิน หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจที่ตลาดยังไม่ได้นำมาพิจารณาอย่างเต็มที่ คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญคือ ควรระวังการตอบสนองเกินจริงของตลาดต่อข่าวร้าย เพราะนั่นอาจเป็นโอกาสดีในการซื้อสินทรัพย์ที่มีพื้นฐานแข็งแรง

 

การใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคและพื้นฐาน

เพื่อปรับแต่งกลยุทธ์ นักเทรดต้องใช้ตัวชี้วัดทั้งทางเทคนิคและพื้นฐานร่วมกัน เครื่องมือทางเทคนิค เช่น RSI (Relative Strength Index) และ MACD (Moving Average Convergence Divergence) ช่วยให้เห็นภาวะซื้อมากหรือลงทุนมากเกินไป ส่วนตัวชี้วัดพื้นฐาน เช่น อัตราส่วน P/E (Price to Earnings) และการวิเคราะห์กระแสเงินสด ช่วยประเมินว่าสินทรัพย์ถูกหรือแพงเกินไปเมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานจริง การใช้เครื่องมือทั้งสองแบบร่วมกันช่วยให้การวิเคราะห์ครอบคลุมและตัดสินใจได้ดีขึ้น

 

การจัดการความเสี่ยงในการเทรดแบบสวนทาง

จัดการความเสี่ยงเมื่อใช้วิธีเทรดสวนทางป้ายสีแดงและสีขาวที่มีเครื่องหมายอัศเจรีย์สีแดงเด่นชัด แสดงถึงความเร่งด่วนหรือความตื่นตัว

การบริหารความเสี่ยงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะกลยุทธ์นี้มักสวนทางกับความคาดหวังทั่วไป นี่คือวิธีลดความเสี่ยงในขณะที่เพิ่มโอกาสได้ผลตอบแทนสูง หรือพูดอีกอย่างคือ วิธีสร้างผลตอบแทนโดยใช้ความเสี่ยงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย

เทคนิคการบริหารเงิน

นักเทรดต้องใช้เทคนิคบริหารเงินอย่างเข้มงวด เช่น การกำหนดขนาดของตำแหน่งเทรดตามเงินทุนและความสามารถรับความเสี่ยง อย่าเสี่ยงเงินเกินกว่าร้อยละเล็กน้อยของทุนทั้งหมดในแต่ละการเทรด เพื่อรักษาเงินทุนหลักไว้

ความสำคัญของการกระจายความเสี่ยง

การลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภทช่วยลดความเสี่ยงได้ โดยไม่วางเงินทั้งหมดไว้ที่จุดเดียว ทำให้นักเทรดสามารถลดผลขาดทุนจากตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ในขณะที่ยังได้กำไรจากสินทรัพย์อื่น การกระจายความเสี่ยงสำคัญมากสำหรับกลยุทธ์สวนทาง เพราะตำแหน่งที่สวนตลาดมักเจอแรงกดดันมาก

ตั้งคำสั่ง Stop-Loss และ Take-Profit

คำสั่ง Stop-Loss และ Take-Profit ถือเป็นเครื่องมือหลักในการบริหารความเสี่ยง โดยช่วยให้สามารถปิดสถานะได้โดยอัตโนมัติเพื่อรักษากำไรและจำกัดการขาดทุน การตั้ง Stop-Loss ที่ระดับราคาที่กำหนดไว้ช่วยให้ออกจากตำแหน่งที่ไม่ดีได้ทันก่อนขาดทุนมากเกินไป เช่นเดียวกับ Take-Profit ที่ช่วยล็อกกำไรในระดับราคาที่ต้องการ ป้องกันการกลับตัวของตลาดอย่างไม่คาดคิด

การบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งจำเป็นต่อความสำเร็จ (แม้จะไม่รับประกันผลลัพธ์) โดยเราจะยกตัวอย่างแนวคิดของนักลงทุนในตำนาน Howard Marks เพื่อช่วยพัฒนากลยุทธ์บริหารความเสี่ยงในการเทรดสวนทางของคุณ

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยง

Howard Marks เน้นว่า ความเสี่ยงไม่ใช่แค่โอกาสเสียเงิน แต่เป็นโอกาสที่ผลลัพธ์จะแตกต่างจากที่คาดหวัง ในการเทรดสวนทาง ความแตกต่างนี้จะยิ่งชัดเจนขึ้น เพราะกลยุทธ์ต้องเดินสวนทางกับความรู้สึกส่วนใหญ่ การเข้าใจเรื่องนี้ช่วยให้นักเทรดสวนทางเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนและพฤติกรรมตลาดที่ไม่คาดคิดได้ดีขึ้น

เปิดใจยอมรับความไม่แน่นอน

ตามคำแนะนำของ Marks อนาคตนั้นไม่แน่นอนโดยธรรมชาติ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จต้องมีความถ่อมตัวและปรับตัวได้ดี นักเทรดสวนทางควรยอมรับว่าไม่สามารถทำนายจุดกลับตัวได้อย่างแม่นยำ แต่ควรมุ่งเน้นที่ความน่าจะเป็นและวางตัวให้ได้ประโยชน์จากความผิดราคาของตลาดในระยะยาว

ใช้การวิเคราะห์อย่างเข้มงวด

Marks เน้นย้ำถึงความสำคัญของการวิจัยและวิเคราะห์อย่างละเอียดเพื่อเข้าใจความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น นักเทรดสวนทางสามารถทำได้โดย:

  • วิเคราะห์พื้นฐานเพื่อยืนยันว่ามูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์สนับสนุนตำแหน่งที่ถืออยู่
  • ใช้ตัวชี้วัดความรู้สึกตลาดเพื่อยืนยันระดับความหวังหรือความกลัวที่เกินจริงก่อนตัดสินใจ
  • ติดตามสภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่อาจทำให้แนวโน้มตลาดยาวนานขึ้น

บริหารขนาดของตำแหน่งลงทุน

หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “อย่าเสียจนฟื้นตัวไม่ได้” ตามที่ Howard Marks เคยกล่าวไว้ สำหรับนักเทรดที่ใช้กลยุทธ์สวนทาง หลักการนี้หมายถึงการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ โดยเริ่มจากการจำกัดขนาดของตำแหน่งลงทุนเพื่อไม่ให้แบกรับความเสี่ยงมากเกินไป หากเกิดความผิดพลาดจะยังสามารถฟื้นตัวได้ นอกจากนี้ควรกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์หรือกลุ่มอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาแหล่งรายได้เพียงทางเดียว และควรจัดสรรเงินทุนเพียงบางส่วนของพอร์ตให้กับกลยุทธ์สวนทาง เพื่อรักษาสมดุลของการลงทุนโดยรวมและไม่ให้พอร์ตเสียหายหนักหากกลยุทธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

ปกป้องตัวเองจากความไม่รู้

การเทรดสวนทางมักเดิมพันกับการกลับตัวของตลาด แต่แนวโน้มอาจยืดเยื้อกว่าที่คาดไว้ Marks แนะนำให้ใช้ “การคิดระดับที่สอง” คือคิดเผื่อสถานการณ์ที่ซับซ้อนและเกินกว่าที่เห็นชัดเจน นักเทรดควร:

  • ตั้งคำสั่ง Stop-Loss ทุกครั้ง เพื่อป้องกันการขาดทุนที่เกินกว่าที่วางแผนไว้
     
  • วางแผนสำรองสำหรับสถานการณ์ที่การเทรดไม่เป็นไปตามคาด
     
  • มีความยืดหยุ่น พร้อมประเมินสถานการณ์และออกจากตำแหน่งเมื่อต้องการ
     

มุ่งเน้นการอยู่รอดในระยะยาว

Marks มักเตือนว่าเป้าหมายของนักลงทุนไม่ใช่แค่ทำกำไร แต่ต้องอยู่ในเกมให้ได้นาน นักเทรดสวนทางควรรักษาวินัยทางอารมณ์และหลีกเลี่ยงการตัดสินใจที่เกิดจากอารมณ์หรือเสียงรบกวนระยะสั้น

สมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน

Marks อธิบายว่า “การควบคุมความเสี่ยงจะมองไม่เห็นในช่วงเวลาที่ดี แต่มีความสำคัญมากในช่วงเวลาที่แย่” นักเทรดสวนทางควรหาจุดสมดุลระหว่างโอกาสได้กำไรจากการสวนกระแสและความเสี่ยงที่จะผิดพลาด การบริหารความเสี่ยงควรเป็นส่วนหนึ่งของทุกการเทรด ไม่ใช่แค่คิดทีหลัง

 

สรุปท้ายบท

แนวทางการจัดการความเสี่ยงของ Howard Marks เน้นไปที่การเตรียมตัว วินัย และความถ่อมตัว—หลักการที่สอดคล้องอย่างยิ่งกับความต้องการของการเทรดแบบสวนทาง ด้วยการเข้าใจธรรมชาติของความเสี่ยง ทำการวิเคราะห์อย่างละเอียด และวางมาตรการป้องกันที่เข้มแข็ง นักเทรดสวนทางจึงสามารถเผชิญหน้ากับความท้าทายของการเดินสวนทางกับฝูงชน และวางตำแหน่งตัวเองเพื่อความสำเร็จในระยะยาวได้

วิธีการเทรดอื่น ๆ

การเทรดประเภทนี้แตกต่างจากวิธีอื่น ๆ ด้วยวิธีการที่ไม่เหมือนใครในการรับมือกับแนวโน้มตลาด ขณะที่กลยุทธ์ส่วนใหญ่ เช่น การเทรดตามแนวโน้มหรือการสแกปปิ้ง จะพยายามทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาตามทิศทางแนวโน้มหลัก กลยุทธ์นี้กลับทำตรงกันข้าม

นักเทรดจะลงทุนสวนทางกับความรู้สึกของตลาด โดยซื้อเมื่อราคาลงต่ำและขายเมื่อราคาขึ้นสูง โดยอาศัยการวิเคราะห์ว่าตลาดมีการตอบสนองเกินจริง อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับกลไกของตลาดและวินัยที่เข้มแข็ง แตกต่างจากวิธีที่ตอบสนองแบบฉับพลันหรือที่ใช้ตัวชี้วัดโมเมนตัม

ข้อดีและข้อเสีย

ข้อดีและข้อเสียเครื่องหมายบวกและลบสีแดงและสีเขียวระบุข้อดีและข้อเสีย

เช่นเดียวกับกลยุทธ์อื่น ๆ การเทรดแบบสวนทางก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ควรจำไว้ว่าไม่มีวิธีการใดที่สามารถรับประกันความสำเร็จในตลาดการเงินได้ การเทรดแบบสวนทางมีข้อได้เปรียบบางประการเหนือกลยุทธ์อื่น ๆ และสามารถให้ผลตอบแทนสูงสำหรับนักเทรดที่มีวินัย ความอดทน และข้อมูลความรู้ที่ดี แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงสูงและไม่เหมาะกับทุกคน

เพื่อความสำเร็จ นักเทรดจึงต้องผสมผสานการวิเคราะห์อย่างรอบคอบกับการบริหารความเสี่ยงที่เข้มแข็ง และต้องมีมุมมองในระยะยาว ด้วยการชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียเหล่านี้ คุณจะสามารถตัดสินใจได้ว่ากลยุทธ์การเทรดแบบสวนทางเหมาะสมกับวิธีการลงทุนของคุณหรือไม่

ข้อดี

  • ทำกำไรจากการตอบสนองตลาดที่เกินจริง: นักเทรดสวนทางใช้โอกาสจากพฤติกรรมตลาดที่ไม่สมเหตุสมผล เช่น การขายตื่นตระหนกหรือตลาดฟองสบู่ โดยการหาสินทรัพย์ที่ราคาผิดไปจากความเป็นจริง
  • ซื้อถูก ขายแพง: กลยุทธ์นี้เน้นการซื้อสินทรัพย์ที่ถูกประเมินค่าต่ำหรือขายสินทรัพย์ที่ถูกประเมินค่าสูงเกินจริง ทำให้นักเทรดสามารถซื้อในราคาลดและขายในราคาพรีเมียม ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
  • โอกาสจากความรู้สึกตลาดที่รุนแรง: การเทรดแบบสวนทางใช้ประโยชน์จากจิตวิทยาตลาด โดยการทำตรงกันข้ามกับความรู้สึกของฝูงชน ช่วยให้นักเทรดสามารถเปิดสถานะก่อนที่ตลาดจะพลิกกลับ ส่งผลให้มีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น
  • ตัดสินใจอย่างอิสระ: นักเทรดสวนทางไม่ถูกครอบงำด้วยเสียงรบกวนของตลาดหรือพฤติกรรมตามฝูง ความเป็นอิสระนี้ช่วยให้ตัดสินใจลงทุนได้อย่างชาญฉลาดและมีเหตุผลมากขึ้น
  • กระจายกลยุทธ์: ด้วยความที่เป็นวิธีการที่ไม่เหมือนใคร การเทรดสวนทางจึงช่วยเสริมกลยุทธ์การตามเทรนด์ ทำให้พอร์ตโฟลิโอมีความหลากหลายและลดความเสี่ยงโดยรวม

ข้อเสีย

  • ความเสี่ยงขาดทุนสูง: การสวนทางกับแนวโน้มตลาดมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะเมื่อแนวโน้มยังคงดำเนินต่อไปนานกว่าที่คาดไว้ หากจับจังหวะผิดอาจทำให้เกิดการขาดทุนอย่างหนัก
  • ความท้าทายทางอารมณ์และจิตใจ: การทำสิ่งที่สวนกระแสต้องใช้วินัยทางอารมณ์สูง ความกลัวว่าจะคิดผิด หรือแรงกดดันจากการที่ต้องตัดสินใจต่างจากคนส่วนใหญ่ อาจทำให้เกิดความเครียดและความเหนื่อยล้าในการเทรด
  • ต้องใช้การวิเคราะห์ที่ซับซ้อน: การเทรดสวนทางต้องอาศัยความเข้าใจลึกซึ้งในจิตวิทยาตลาด ตัวชี้วัดทางเทคนิค และการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน จึงไม่เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ยังไม่มีความรู้เพียงพอ
  • ความไม่แน่นอนในเรื่องจังหวะเวลา: แม้จะสามารถระบุได้ว่าสินทรัพย์อยู่ในภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป แต่การทำนายเวลาที่ตลาดจะกลับทิศทางอย่างแม่นยำเป็นเรื่องยาก อาจต้องถือครองตำแหน่งนานเกินคาด
  • แรงต้านจากตลาด: ในบางครั้ง กลุ่มคนส่วนใหญ่ก็อาจเป็นฝ่ายถูก และแนวโน้มอาจดำเนินต่อไปอย่างแข็งแกร่ง นักเทรดสวนทางจึงเสี่ยงที่จะขัดกับปัจจัยพื้นฐานหรือโมเมนตัมของตลาดที่ยังมีแรงหนุน

การซื้อในราคาต่ำและขายในราคาสูง โดยการสวนกระแสตลาด สามารถสร้างกำไรได้มาก เมื่อราคาสินทรัพย์ปรับตัวกลับเข้าสู่มูลค่าที่เหมาะสมตามเหตุผล อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดสำหรับนักเทรดสวนทางคือแนวโน้มที่ยังคงดำเนินต่อไป เพราะตลาดส่วนใหญ่มักอยู่ในช่วง “ตามแนวโน้ม” ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงในการถูกบังคับขายออก (liquidation) แม้ว่ากลยุทธ์สวนทางจะมีเหตุผลและได้รับการสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐานก็ตาม

นอกจากนี้ บางครั้งสถานการณ์ในตลาดก็อาจเปลี่ยนไปเข้าข้างแนวโน้มเดิม เช่น ราคาน้ำมันที่ร่วงลงเนื่องจากสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์คลี่คลายเร็วกว่าคาด ซึ่งอาจกระตุ้นให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นต่อไปอีก

อย่างไรก็ตาม การหลีกเลี่ยงการตามกระแสนิยมในตลาดหรือฟองสบู่เก็งกำไร สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการขาดทุนหนักได้ มีเพียงนักลงทุนจำนวนน้อยเท่านั้นที่ใช้กลยุทธ์นี้อย่างสม่ำเสมอและมีวินัย ซึ่งช่วยลดการแข่งขันในตำแหน่งสวนกระแส และเปิดโอกาสที่ดีกว่าให้กับผู้ที่กล้าลงมือ การเพิ่มกลยุทธ์สวนทางเข้าไปในพอร์ตการลงทุน ยังสามารถช่วยเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากความเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิดของตลาด และช่วยให้พอร์ตมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น

ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยงในการเทรดแบบสวนทาง

แม้ว่าการเทรดสวนทางจะเป็นเทคนิคที่มีศักยภาพในการทำกำไร แต่ก็มีข้อผิดพลาดบางประการที่นักเทรดควรหลีกเลี่ยง

ทำตามกระแสโดยไม่คิดให้รอบคอบ

หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดคือการไหลไปตามกระแสหรือกระแสตื่นตระหนกของตลาดโดยไม่วิเคราะห์ให้ดี จุดสำคัญของกลยุทธ์สวนทางคือต้องมีเหตุผลและการวิเคราะห์รองรับ ไม่ใช่เพียงแค่ “ขัดแย้งกับคนหมู่มาก” อย่างไร้ทิศทาง

 

มองข้ามความสำคัญของความอดทน

ความอดทนเป็นคุณสมบัติสำคัญของนักเทรดสวนทาง เพราะบ่อยครั้งที่คุณต้องรอให้ตลาดรับรู้และปรับราคาที่ผิดพลาดให้กลับสู่มูลค่าที่แท้จริง ซึ่งอาจต้องใช้เวลา ในฐานะนักเทรด คุณต้องอดทนต่อแรงกดดันจากความเคลื่อนไหวระยะสั้นในตลาด และยึดมั่นในกลยุทธ์ที่วางไว้ แม้ผลตอบแทนในช่วงแรกจะต่ำกว่าคาด นี่ต้องอาศัยวินัยที่เข้มงวดและความสามารถในการรับมือกับช่วงเวลาที่ตลาดนิ่งหรือขาดทุนชั่วคราว

 

มองข้ามปัจจัยพื้นฐานของตลาด

การเทรดสวนทางไม่ใช่แค่ดูที่พฤติกรรมของราคาหรือความรู้สึกของฝูงชนเท่านั้น นักเทรดควรมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับปัจจัยเศรษฐกิจและการเงินที่เป็นพื้นฐานของตลาด หากมองข้ามสิ่งเหล่านี้และให้ความสำคัญเฉพาะกับการเคลื่อนไหวของราคา อาจทำให้ตัดสินใจผิดพลาด การวิเคราะห์อย่างรอบด้านจึงเป็นสิ่งสำคัญหากต้องการหาโอกาสสวนทางที่แท้จริง

บทสรุป

การเทรดแบบสวนทาง (Contrarian trading) คือกลยุทธ์ที่ต้องมีความกล้าหาญ ซึ่งเน้นการลงทุนสวนทางกับแนวโน้มตลาดที่เป็นอยู่ เพื่อทำกำไรจากสินทรัพย์ที่มีราคาผิดปกติในช่วงเวลาที่เกิดความรู้สึกสุดขั้วในตลาด โดยใช้หลักจิตวิทยาตลาดควบคู่กับเครื่องมือวัดความรู้สึกนักลงทุนและตัวชี้วัดทางเทคนิค ผู้เทรดสวนทางมุ่งหวังที่จะ "ซื้อเมื่อราคาต่ำ และขายเมื่อราคาสูง" ในขณะที่คนส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะหวาดกลัวหรือโลภ

แม้วิธีนี้จะมีโอกาสทำกำไรสูง แต่ก็ต้องอาศัยวินัย การวิเคราะห์อย่างละเอียด และการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ได้รับแรงบันดาลใจจากนักลงทุนระดับตำนานอย่าง Howard Marks และ Warren Buffett กลยุทธ์สวนทางนี้เหมาะสำหรับผู้ที่กล้าคิดต่าง และกล้าตัดสินใจอย่างมั่นใจ

 

เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นและใช้สำหรับการศึกษาเท่านั้น ความคิดเห็น การวิเคราะห์ ราคา หรือเนื้อหาอื่น ๆ ในเอกสารนี้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คำแนะนำในการลงทุน หรือเพื่อให้ความเข้าใจด้านกฎหมายของประเทศ Belize

ผลประกอบการในอดีตไม่ได้เป็นการรับประกันถึงผลประกอบการในอนาคต การกระทำหรือการตัดสินใจใด ๆ ตามข้อมูลในเอกสารนี้ เป็นความเสี่ยงของผู้ดำเนินการเอง XTB ไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อความสูญเสีย ความเสียหาย หรือผลกำไรหรือขาดทุนใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมจากการใช้ข้อมูลในเอกสารนี้

ทุกการตัดสินใจลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบ และเป็นความรับผิดชอบของท่านเอง

 

FAQ การเทรดแบบสวนทาง Contrarian trading
 

 

คำถามที่พบบ่อย

การซื้อขายแบบ Contrarian คือกลยุทธ์การลงทุนที่สวนทางกับแนวโน้มของตลาดในขณะนั้น โดยเน้นเข้าเทรดในช่วงที่คนส่วนใหญ่มีอารมณ์รุนแรง เช่น ความโลภหรือความกลัว ตัวอย่างเช่น เมื่อคนส่วนใหญ่แห่ซื้อ เทรดเดอร์แบบ Contrarian จะพิจารณาขาย และเมื่อทุกคนกำลังตื่นตระหนกขาย เทรดเดอร์ประเภทนี้จะเริ่มซื้อ

กลยุทธ์นี้มุ่งหวังสร้างกำไรจาก “ปฏิกิริยาที่มากเกินไปของตลาด” ซึ่งมักทำให้ราคาหลุดออกจากมูลค่าที่แท้จริง

การเทรดแบบ Contrarian มีความเสี่ยงสูง เพราะแม้ตลาดจะดูสุดโต่ง แต่แนวโน้มสามารถดำเนินต่อไปได้อีกนาน หากไม่มีการบริหารความเสี่ยงที่ดี อาจขาดทุนหนักได้ การใช้ Stop-loss, การแบ่งไม้ลงทุน และการมีวินัยทางอารมณ์จึงสำคัญมาก

เครื่องมือสำคัญ ได้แก่:

  • ตัวชี้วัดอารมณ์ตลาด: Fear & Greed Index, แบบสำรวจ AAII
  • ตัวชี้วัดทางเทคนิค: RSI, Bollinger Bands, เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
  • การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: เช่น อัตราส่วน P/E, ราคาต่อมูลค่าทางบัญชี

  • อารมณ์ตลาดรุนแรงเกินไป (ทั้งในด้านบวกและลบ)
  • ตัวชี้วัด RSI หรือ Bollinger Bands ชี้ว่าสินทรัพย์ซื้อมาก/ขายมาก
  • ข่าวสารที่เกินจริง หรือการเก็งกำไรอย่างหนักในสื่อ

ควรเริ่มต้นโดยการเรียนรู้จิตวิทยาตลาดและการวิเคราะห์อารมณ์ การใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น ตัวบ่งชี้อารมณ์และการวิเคราะห์ทางเทคนิค การทดสอบกลยุทธ์ของคุณในบัญชีสาธิตก่อนลงทุนด้วยเงินจริง การซื้อขายแบบสวนกระแสไม่ใช่การต่อต้านแนวโน้มเพียงเพื่อหวังผล แต่เป็นการรู้จักสังเกตเมื่อแนวโน้มส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะผิด และดำเนินการอย่างเด็ดขาด

เข้าสู่ตลาดพร้อมลูกค้าของ XTB Group กว่า 1 700 000 ราย

ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เราให้บริการมีความเสี่ยง เศษหุ้น (Fractional Shares) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้บริการจาก XTB แสดงถึงการเป็นเจ้าของหุ้นบางส่วนหรือ ETF เศษหุ้นไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินอิสระ สิทธิของผู้ถือหุ้นอาจถูกจำกัด
ความสูญเสียสามารถเกินกว่าเงินที่ฝาก